อารยธรรมลุ่มน้ำแม่หาดตอนล่าง
กลุ่มหมู่บ้านที่สำคัญที่อาศัยอยู่ลุ่มแม่น้ำแม่หาด และอยู่นานกว่าหมู่บ้านอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้วทุกหมู่บ้าน คือกลุ่มหมู่บ้านหลวงดอยเต่า บ้านหลวงดอยเต่า เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่สุด ที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มน้ำแม่หาด แต่บอกไม่ได้ว่าโยกย้ายมาจากไหน อยู่บริเวณนี้นานกี่ปี พ่ออุ้ยกาบ ปันจินะ อายุ ๙๖ ปี เป็นคนเก่าคนแก่ของบ้านหลวงดอยเต่า บอกว่า พอจำความได้ ก็เห็นว่าบ้านดอยเต่ามีเป็นร้อยครัวเรือนแล้ว ปัจจุบันได้แยกสาขาเป็นหมู่บ้านต่าง ๆ อยู่ในละแวกนี้ ถึง ๔ หมู่บ้าน คือ บ้านสันป่าดำ(บ้านที่พ่ออุ้ยกาบอยู่) บ้านสันต้นเปา บ้านปากทางดอยเต่า บ้านฉีมพลี ถ้านับจำนวนครัวเรือนมารวมกันแล้วน่าจะมากกว่าพันครัวเรือน แสดงถึงว่าบ้านหลวงดอยเต่าเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ อายุการตั้งหมู่บ้านนานกว่าบ้านอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว แต่ร่องรอยอารยธรรมก็ไม่ได้แตกต่างจากบ้านอื่น ๆ เท่าไหร่นัก
จากหลักฐานใบลาน ประวัติของบ้านตาล ได้กล่าวถึงอาณาเขตของบ้านตาลและได้กล่าวถึงคนจาวดอยเต่าว่า “ขุนตูสั่งไว้สันนี้ แดนตี๊แต้ ตะกล้าไร่หลวง แผวนาร้องเรียว แผวปวกก้อน หนองอึ่ง ลงสุดตุบ ขึ้นแม่หาดเป๋นแดน แผวห้วยบ่อขุมเงิน ขึ้นห้วยบ่อขุมเงิน แผวดอยกั้ง แผวห้วยสารปี แผวเด่นข้าวตาก ขึ้นดอยผากอง ซื่อตามสัน โก้ดตามสัน น้ำไปตางวันออกเป๋นตี๊เมืองลี้ น้ำไหลไปตางวันตกตี๊บ้านตาล ไต่สันไปแผวม่อนพระเจ้า ลงสันม่อนพระเจ้าแผวแม่ลี้ฝ่ายใต้ สูบแม่ละงอง ล่องตามแม่ลี้ฝ่ายวันออกจุเมืองลี้มีสันนี้แล อัน ๑ เล้า ตี้ดอยป่าหมาก ซื่อตามสัน โก้ดตามสัน แผวแป๋ตัดม่อนเส้า ลงผาตั้งลงแม่หาด แผวร้องปูขึ้นนั้น จาวดอยเต่าจ๋นด้วยอันหาตี้เยี๊ยะตี้กิ๋นบ่ได้ จึ่งเอาเงิน ๕ เหล่มเจียงมาขอแก้กลาหัวไร่หางนากิ๋น แจ๋นตู่ข้าอยู่จิ๋มกันนี้ปอขอหื้อกินเต๊อะ ยามนั้นขุนบ้านตาลเปื้อนว่าบ่ดี ป๋ายหน้าลูกหลานสูเจ้าจั๊กว่า ตี้ตูซื้อขาดแล้ว จั๊กว่าอันตูบ่ขายแล ป๋ายหน้าลูกหลานตูไปง่าย หากตักรวงดั้นจร เอาน้ำตี้หลังดินตูคืนเสีย สูเจ้าจั๊กจูบ่จู กั๋นจูตูก็จั๊กเอาเงินสูไว้จา ป๋ายหน้ากั๋นสูบ่อยู่ตามสัจจะวาจานั้น ตูจั๊กขื๋น ๕ เหล่มเจียงหื้อสูเสีย ตี้นี้เป๋นตี้ตูดังเก่า มีกำปฏิญานกันไว้สันนี้แล้ว จาวดอยเต่าจิ่งว่าไปหน้า เจ้นลูกหลานตูข้าตังหลาย กันว่าเขาบ่อยู่ ตามกำสัจจะวาจา ตามกำอันนี้ขื๋นเต๊อะว่าอั้นแล้ว ขุนตนจิ่งปล่งหื้อตั้งแต่นั้นมา แลมีกำสันนี้แลฯ”
จากข้อความบันทึกใบลาน เป็นภาษาล้านนา (ตั๋วเมือง) ดังกล่าว บอกให้รู้ว่า คนดอยเต่าโยกย้ายมาอยู่บริเวณนี้ใหม่ ไม่มีที่ทำกิน จึงขอซื้อที่ดินของคนบ้านตาล ซึ่งมีทุ่งนาในบริเวณนี้มาก่อน คนบ้านตาลไม่ขายให้ แต่จะให้ทำกิน ถ้าวันข้างหน้าไม่อยู่ที่นี่ต่อ คนบ้านตาลจะคืนเงินให้ ๕ เหล่มเจียง น่าเสียดายที่ข้อความที่บันทึกไว้ไม่ได้บอกวันเดือนปีที่คนดอยเต่าโยกย้ายมาอยู่ และโยกย้ายมาจากไหน แต่ได้โยกย้ายมาใหม่ ๆ ไม่มีที่ทำกิน และไม่แน่ใจว่าจะอยู่ต่อไปหรือไม่ ถ้าคนดอยเต่าไม่อยู่ คนบ้านตาลจะคืนเงินให้ จนถึงเดี๋ยวนี้คนดอยเต่าคงไม่ได้เงิน ๕ เหล่มเจียงคืน เพราะคนดอยเต่าได้ตั้งหลักปักฐาน สร้างบ้านสร้างเรือนขยับขยายแตกสาขาออกเป็นหลายหมู่บ้าน และได้สร้างวัดขึ้นใหม่ คือ วัดบ้านหลวงดอยเต่า
วัดบ้านหลวงดอยเต่าเดิมอยู่บนฝั่งแม่น้ำแม่หาด แต่ถูกน้ำท่วมจึงย้ายมาอยู่ที่วัดหลวงดอยเต่าปัจจุบัน ซึ่งเดิมเป็นวัดร้างของชนเผ่าลัวะ มีหลักฐานสำคัญคือประตูโขงเก่า ๆ เชื่อว่ามีอายุก่อนยุคกรุงรัตนโกสินทร์ บริเวณนี้เคยขุดพบพระไม้ปางมารวิชัย และยังมีกำแพงวัด มีซากอิฐปรักหักพัง บริเวณวัดอยู่ติดกับดงหอพ่อเฒ่าหนาน (ศาลผีเสื้อบ้าน หรือผีประจำหมู่บ้าน)
นอกจากบริเวณวัดหลวงดอยเต่าจะเป็นร่องรอยอารยธรรมของคนลัวะตามที่พ่ออุ้ยกาบเล่าให้ฟังแล้ว ในบริเวณนี้ ยังมีวัดแยงเงา ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแม่ตูบ(เป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำแม่หาด) อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านฉีมพลีประมาณ ๕๐๐ เมตร (สันนิษฐานว่า เงาของพระธาตุ หรือวิหารอะไรสักอย่างที่เกิดเป็นเงาอยู่ในน้ำ จึงได้ชื่อว่าวัดแยงเงา คำว่า แยง หมายถึง ดู แยงเงา น่าจะหมายถึง ดูเงาตนเองในน้ำแม่ตูบ) เวลานี้ไม่เหลือแม้แต่เงา เหลือแต่ซากก้อนอิฐเก่า ๆ บ้างพอรู้ว่าเป็นวัดเท่านั้นเอง
วัดนาโฮ้งเก้า เป็นอีกวัดหนึ่งที่พ่ออุ้ยกาบเล่าให้ฟัง เป็นวัดที่อยู่ใกล้บ้านอุ้ยกาบ วัดแห่งนี้น่าสนใจมาก เนื่องจากเป็นวัดเก่าแก่วัดเดียวที่พอจะเห็นพระพุทธรูปตั้งอยู่ให้เห็น ลูกของพ่ออุ้ยกาบ อายุ ๖๐ กว่า ปี เล่าว่า สมัยเป็นเด็ก ยังเคยเห็นพระพุทธรูป ประดิษฐานอยู่ในวัดร้าง ซึ่งเวลานั้นมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมหนาทึบกลายเป็นดงย่อม ๆ แล้ว ถามว่า เดี๋ยวนี้ พระพุทธรูปที่ว่าหายไปไหน อุ้ยกาบเล่าว่า ครูบาขาวปี๋(นักบุญแห่งล้านนาที่คนดอยเต่าให้การเคารพนับถือ) เคยเอาไปครั้งหนึ่งแต่เอามาคืนไว้ที่เดิม หลังจากนั้นหมวดหมาน หรือหมวดสมาน เจ้าหน้าที่ตำรวจโรงพักแม่กาเอาไปแต่ไม่ได้เอามาคืน ไม่มีใครที่จะทักท้วงขอคืน เนื่องจากคิดว่าไม่ใช่มรดกตกทอดของบรรพบุรุษ เป็นของคนลัวะ ซึ่งคนบ้านเราไม่กล้าที่จะไปยุ่งเกี่ยวด้วยหรอก เพราะกลัวผีวัดร้างทำร้าย อุ้ยกาบ บอกว่า วัดห่างโฮ้งเก้า อยู่บริเวณที่ราบลุ่มใกล้ทุ่งนา ส่วนที่ตั้งของวัดม่อนจอมธรรมปัจจุบัน จะเป็นร่องรอยซากปรักหักพังพระธาตุของวัดโฮ้งเก้าซึ่งอยู่บนม่อนดอยใกล้ๆ นั่นเอง
อารยธรรมบ้านไร่
ห่างจากบ้านหลวงดอยเต่า ล่องตามสายน้ำแม่หาดไม่เกิน ๓ กิโลเมตร จะเป็นที่ตั้งบ้านไร่ หมู่ ๒ ต. ดอยเต่า อ. ดอยเต่า จ. เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ไม่แพ้บ้านหลวงดอยเต่า จากการสอบถามแม่อุ้ยพา เปี้ยพริ้ง อายุ ๘๐ ปี แม่อุ้ยพาเล่าให้ฟังว่า บ้านไร่เกิดจากการที่มีคนย้ายถิ่นที่อยู่เพื่อมาทำไร่ จึงได้ชื่อว่าบ้านไร่ คนเฒ่าคนแก่เล่าต่อ ๆ กันมาว่า คนบ้านไร่ได้โยกย้ายมาจาก อ.แม่พริก จ. ลำปาง แรกเริ่มมีคนมาทำไร่อยู่เพียง ๓ ครอบครัว คือ ๑.ครอบครัวแม่เฒ่าฟองแก้ว ๒.ครอบครัวแม่เฒ่าเป็ง ๓. ครอบครัวแม่เฒ่างา

แม่อุ้ยพา เปี้ยพริ้ง แม่อุ้ยติ๊บนำปุ๊ด แม่อุ้ยอ่อน ปาสอน
เดิมบ้านไร่มีวัดอยู่บริเวณตลาดนัดวันศุกร์ติดลำห้วยแม่หาด สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๒ จากการสอบถามคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน ภายในวัดเก่ามีโฮง(กุฏีสงฆ์)หลังใหญ่ มีวิหาร แต่ไม่มีเจดีย์หรือพระธาตุ มีเจ้าอาวาสชื่อครูบาเผือก เนื่องจากวัดคับแคบและติดกับฝั่งแม่น้ำแม่หาด ถูกน้ำกัดเซาะจึงย้ายมาอยู่ที่วัดบ้านไร่ปัจจุบัน ลุงหนานใจ๋ โด้คำ อาจารย์วัดบ้านไร่ เล่าว่า บริเวณของวัดปัจจุบันก็มีก้อนอิฐสมัยเก่า คล้ายกู่ของคนโบราณหลงเหลืออยู่ให้เห็น แสดงว่าวัดบ้านไร่ได้ย้ายมาสร้างทับที่เก่าของคนโบราณที่อาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับวัดหลวงดอยเต่า
วัดบ้านไร่ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยแรงศรัทธาของชาวบ้านไร่จนทำให้วัดวาอารามมีพระอุโบสถ พระวิหาร กุฏี พระธาตุเจดีย์ที่สูงตระหง่านให้เห็นในปัจจุบันนับเป็นเวลาถึง ๙๓ ปี
ถามถึงร่องรอยอารยธรรมที่เก่าแก่ในบริเวณบ้านไร่แล้ว ได้คำตอบว่า ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่บ้าน จะมีหนองน้ำ มีพื้นที่ประมาณ ๓ ไร่ ชาวบ้านเรียกว่าหนองย่าลัวะ ด้านทิศเหนือของหมู่บ้านชาวบ้านไร่เรียกชื่อว่าดงผึ้ง (บริเวณสวนลำไยลุงน้อยหนิ้ว)จะมีซากอิฐปรักหักพังเป็นจำนวนมาก มีร่องรอยทางเดินปูด้วยหิน มีแนวกำแพงวัด พระวิหาร ชาวบ้านเรียกว่า วัดจอมแจ้งกำแปงงาม(พ่อครูทวี ยงสุวรรณวงศ์ ให้ข้อมูล) พ่อหนานใจ๋ โด้คำ (พ่ออาจารย์วัดบ้านไร่)สันนิษฐานว่าเป็นวัดของชนเผ่าลัวะ
นอกจากดงผึ้งยังมีวัดห่างจ้างคำ เป็นวัดร้างอยู่ด้านทิศตะวันออกของบ้านไร่ ประมาณ ๑๐ กิโลเมตร มีร่องรอยของวัดร้าง บ้านร้าง มีอิฐขนาดก้อนใหญ่ ๆ มีต้นผลหมากรากไม้ เช่น มะม่วง ขนุน มีร่องรอยของการขุดหาของเก่า มีร่องรอยของหมู่บ้านบริเวณรอบ ๆ วัดห่างจ้างคำ เช่น เด่นตูบ โล๊ะตีนแป เหล่าป่ากล้วย วังบ่าบ้า โดยเฉพาะบริเวณเด่นตูบ เป็นบริเวณที่มีคนเคยขุดพบพระสิงห์หนึ่ง บริเวณอื่น ๆ ไม่ทราบว่าได้อะไรไปบ้าง มีแต่ร่องรอยการขุดเป็นหลุมเป็นบ่อไปทั่วบริเวณ
ห่างจากบ้านไร่ไปตามลำน้ำแม่หาด ผ่านวัดร้างจอมแจ้งกำแปงงามไปไม่ไกลนัก จะมีร่องรอยบ้านร้างของหมู่บ้านเด่นคา ซึ่งเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับบ้านไร่ ได้กลายเป็นบ้านร้างเมืองร้างเมื่อประมาณ ๘๐ ปีที่ผ่านมา เดิมบ้านเด่นคามีอยู่ ๓ กลุ่ม คือบ้านเด่นคาเหนือ บ้านเด่นคากลาง และบ้านเด่นคาใต้ ทั้ง ๓ กลุ่มหมู่บ้าน เคยเป็นหมู่บ้านที่เจริญ มีวัดวาอาราม แต่ปัจจุบันทิ้งเป็นบ้านร้างวัดร้าง แยกย้ายกันไปอยู่คนละที่คนละทาง เนื่องจากไม่สามารถขยายบ้านได้ เพราะอยู่ระหว่างแม่น้ำแม่หาดกับทุ่งนา อีกเหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะน้ำแม่หาดเปลี่ยนทิศ ทำให้ฝั่งแม่น้ำพังทลายเข้าสู่หมู่บ้าน เท่าที่สืบทราบจากคนเฒ่าคนแก่บ้านไร่บอกว่า บ้านเด่นคาเหนือย้ายมาอยู่บ้านไร่ บ้านเด่นคากลางย้ายไปอยู่บ้านสันติสุข ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของลำห้วยแม่หาด อยู่ห่างจากบ้านเดิมประมาณ ๓ กิโลเมตร บ้านเด่นคาใต้ย้ายไปอยู่บ้านถิ่นสำราญ อยู่ทางทิศเหนือของบ้านเดิมประมาณ ๑ กิโลเมตร ปัจจุบันนี้ทั้งบ้านถิ่นสำราญและบ้านสันติสุขเป็นหมู่บ้านขนาดกลางได้มีประชากรที่ย้ายจากการอพยพหนีน้ำท่วมขึ้นมาอยู่สมทบ จึงทำให้เป็นหมู่บ้านที่มีหลากหลายสำเนียงอย่างเห็นได้ชัด

พ่ออุ้ยกาบ ปันจินะ อายุ ๙๖ ปี บ้านสันต้นเปา ผู้ให้สัมภาษณ์